สมัยกรุงศรีอยุธยา
การดนตรีสมัยกรุงศรีอยุธยานี้เจริญขึ้นกว่าสมัยกรุงสุโขทัยมาก ชาวพระนครศรีอยุธยาสมัยนั้นมีความสนใจในศิลปะการดนตรีเป็นอย่างมากและนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย เครื่องดนตรีสมัยอยุธยา ก็คือ เครื่องดนตรีที่เล่นกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยนั้นเอง แต่ได้วิวัฒนาการให้ดีขึ้นทั้งด้านรูปทรงและการประสมวง ตลอดจนการบรรเลงก็ประณีตขึ้น และเพิ่มเครื่องดนตรีบางชนิด ซึ่งสรุปได้ดังนี้
เครื่องดีด มีกระจับปี่ จะเข้ พิณเพี้ยะ พิณน้ำเต้า
เครื่องสี
มี ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง
เครื่องตี
มีกรับพวง กรับคู่ กรับเสภา ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องคู่ ฆ้องชัย ฆ้องโหม่ง ฉิ่ง ฉาบ มโหระทึก ตะโพน กลองทัด กลองตุ๊ก บัณเฑาะว์ กลองมลายู กลองชนะ
เครื่องเป่า มี ปี่ใน ปี่กลาง ขลุ่ย แตรงอน แตรสังข์
การประสมวงดนตรีสมัยกรุงศรีอยุธยา
                   การดนตรีในสมัยนี้ เจริญกว้างขวางไปกว่าแต่ก่อนมาก จึงมีการประสมวงดนตรีแบบใหม่ขึ้น แบ่งออกได้ดังนี้
วงมโหรี
ในสมัยอยุธยานี้ได้วิวัฒนาการมาจากการบรรเลงพิณและวงขับไม้ ของเดิมสมัยกรุงสุโขทัยเข้าด้วยกัน ได้แก่ คนสีซอ สามสาย ดีดกระจับปี่ทำลำนำ คนขับลำนำ คนไกวบัณเฑาะว์ ต่อมา ได้ปรับ จากการไกวบัณเฑาะว์เป็นโทนเพราะกำกับจังหวะได้ดีกว่า และการขับลำนำก็เปลี่ยนเป็นการขับร้องแทนเรียกว่ามโหรีเครื่อง ๔ ต่อมาได้เพิ่มคนบรรเลง และเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีก๒อย่างคือรำมะนาใช้ตีคู่กับโทนและขลุ่ย ภายหลังคนร้องเปลี่ยนจากตีกรับพวงเป็นฉิ่งแทน เรียกว่ามโหรีเครื่อง ๖
                                                                           วงมโหรีเครื่องสี่
มโหรีเครื่อง ๔ ได้แก่
๑ซอสามสาย   ๒กระจับปี่  ๓คนร้องตีกรับพวง   ๔โทน
                                                                     วงมโหรีเครื่องหก
มโหรีเครื่อง ๖ ได้แก่ ๑ซอสามสาย  ๒กระจับปี่  ๓คนร้องตีกรับพวง  ๔โทน  ๕รำมะนา  ๖ขลุ่ย ภายหลังได้นำเอาจะเข้ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของมอญเข้ามาประสมแทนกระจับปี่ เพราะเป็นสิ่งที่บรรเลง
ทำนองได้ละเอียดกว่าเสียง ก็ไพเราะกว่า และเป็นสิ่งที่วางราบกับพื้นดีดได้ถนัดกว่ากระจับปี่ ในวงมโหรีเครื่อง ๔ วงมโหรีเครื่อง ๖
วงเครื่องสาย
ความรุ่งเรืองของ เครื่องดนตรีจำพวกเครื่องสายในสมัยอยุธยาได้มีอยู่แล้วหลายอย่าง สมัยอยุธยาคงจะมีผู้เล่นดนตรีจำพวกซอขลุ่ย เป็นจำนวนมากและอาจจะเล่นกันแพร่หลายจนความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทำให้เล่นกันเกินขอบเขต เข้าไปจนใกล้เขตพระราชฐาน จึงมีบทบัญญัติกำหนดโทษ ไว้ในกฎมลเฑียรบาล ในตอนหนึ่งไว้ดังนี้
“อนึ่งในท่อน้ำ ในสระแก้ว ผู้ใดขี่เรือคฤ เรือปทุน เรือกูบ และเรือสาตราวุธ และใส่หมวกคลุมหัวนอนมา ชายหญิงนั่งมาด้วยกัน อนึ่งชเลาะ ตีด่ากัน ร้องเพลงเรือ เป่าปี่ เป่าขลุ่ย สีซอ ดีดจะเข้ กระจับปี่ ตีโทนทับ โห่ร้องนี่นั้น อนึ่งพิริยะหมู่แขก ขอม ลาว พะม่า เมง มอญ มสุม แสง จีน จาม ชวา นานาประเทศทั้งปวงและเข้ามาเดินท้ายสนมก็ดี ทั้งนี้อัยการขุนสนมห้าม ถ้ามิได้ห้ามปรามเกาะกุมเอามาถึงศาลาให้แก่เจ้าน้ำเจ้าท่าแลให้นานา ประเทศไปมาในท้ายสนมได้ โทษเจ้าพนักงานถึงตาย”
เครื่องดนตรีต่างๆที่ได้ระบุมาในกฎมลเฑียรบาลนี้ นอกจากปี่ซึ่งอยู่ในวงปี่พาทย์ และกระจับปี่อยู่ในวงมโหรีแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในวงเครื่องสายทั้งสิ้น ส่วนซอนั้นจะเป็นซอสามสายอย่าวงมโหรีหรือ ซอด้วง ซออู้อย่างที่เราบรรเลงอยู่ในวงเครื่องสายปัจจุบันก็ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่พิจารณาตามสภาพการณ์ซึ่งเล่นกันมากมายแพร่หลายถึงต้องมีข้อบัญญัติห้ามไว้ คงต้องเป็นของที่ค่อนข้างเล่นง่ายและหาง่าย จึงเข้าใจว่าซอที่ระบุใน กฎมลเฑียรบาลนี้น่าจะเป็นซออู้ ซอด้วง ที่บัญญัติไว้ว่า “ ซอ” เฉยๆก็เพื่อให้ครอบคลุมถึงซอสามสายและซออื่นๆที่จะมีผู้คิดสร้างเลี่ยงกฎหมาย ภายหลัง
ถ้าเป็นเช่นนี้ วงเครื่องสายไทยในสมัยอยุธยาก็มีพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้ว
คือ มีซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย เป็นเครื่องบรรเลงทำนอง โทนหรือทับ และฉิ่ง เป็นเครื่องกำกับจังหวะ
         วงปี่พาทย์
ปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ยังเป็นปี่พาทย์เครื่องห้าคงเดิม แต่เพิ่มระนาดเอกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งไทยคิดเองหรือได้ตัวอย่างมาจากมอญก็ไม่ทราบ แต่ถึงแม้จะมีระนาดเพิ่มก็ยังเรียกปี่พาทย์เครื่องห้าเช่นเดิม เพราะเห็นว่าฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีกำกับจังหวะที่เล็ก จึงไม่นับ
ปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา
สันนิษฐานว่ามีวิวัฒนาการมาจากวงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนักสมัยสุโขทัยใช้บรรเลงประกอบละครชาตรี การแสดงโนราห์และหนังตะลุงทางใต้ ได้แก่ ปี่ ทับ กลองชาตรี ฆ้องคู่ ฉิ่ง
วงปี่กลอง
นิยมใช้ในงานอวมงคล เช่น แห่พระบรมศพของเชื้อพระวงศ์ เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่ชวา กลองมลายู ฆ้องเหม่ง
วงปี่พาทย์นางหงส์
เป็นการนำวงปี่พาทย์เครื่องห้ากับวงปี่กลองมารวมกันโดยเปลี่ยนเครื่องดนตรีในวง ๒ชนิด คือใช้ปี่ชวาแทนปี่ใน ใช้กลองมลายู แทนตะโพนกับกลองทัด ใช้ในงานอวมงคล
ลักษณะเพลงไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาสามารถแยกประเภทเพลงได้ดังนี้
๑ เพลงร้องมโหรี
บรรเลงดวยวงมโหรี ใช้สำหรับขับกล่อม ได้แก่
      เพลงตับ
เช่นเพลงตับเรื่องพระนคร เพลงตับเรื่องนางร้องไห้ เพลงตับเรื่องเกสรมาลา เพลงตับเรื่องยิกิน
      เพลงเกร็ด
เช่น นางตานีร้องไห้ ศรีประเสริฐ ระส่ำระส่าย มดน้อย ล่องเรือละคร
๒เพลงปี่พาทย์
ใช้สำหรับขับร้องและบรรเลง ประกอบ การแสดงโขน ละคร พิธีการต่างๆ เช่น
      เพลงหน้าพาทย์ เช่น สาธุการ ตระ รัว ช้าปี่ โอ้ร่าย ชมตลาด ช้าครวญ
        เพลงเรื่อง เพลงเรื่องทำขวัญ เพลงเรื่องพระนเรศวร
๓เพลงภาษา
เนื่องจากสมัยนี้มีการติดต่อกับต่างประเทศ การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมต่างๆจึงเกิดขึ้นด้านดนตรีได้มีการประพันธ์บทเพลงโดย เลียนสำเนียงชาติต่างๆ เพื่อบรรเลงประกอบตัวละครตามชาตินั้นๆ เช่น จีนเก็บดอกไม้ จีนหลวง ฯลฯ